วัดหมื่นเงินกอง ตั้งอยู่เลขที่ ๓๐
ถ.สามล้าน ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่
ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นใน ด้านทิศตะวันตกใกล้แจ่งกู่เฮืองและประตูสวนดอก
ตั้งอยู่ในเขตกำแพงเมืองชั้นใน ด้านทิศตะวันตกใกล้แจ่งกู่เฮืองและประตูสวนดอก
วัดหมื่นเงินกอง
สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้ากือนาหรือท้าวสองแสนนากษัตริย์นครพิงค์เชียงใหม่
กษัตริย์องค์ที่ ๖ เมื่อ จ.ศ.๗๐๑ - ๗๓๕ (พ.ศ. ๑๘๘๒ - ๑๙๑๖)
หมื่นเงินกองเป็นชื่อของมหาอำมาตย์ ตำแหน่ง "ขุนคลัง" ท่านหนึ่งในรัชกาลพระเจ้ากือนา
โดยโปรดให้ไปอาราธนาพระสุมนะเถระชาวเมืองสุโขทัยมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในนครพิงค์
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๓
กษัตริย์องค์ที่ ๖ เมื่อ จ.ศ.๗๐๑ - ๗๓๕ (พ.ศ. ๑๘๘๒ - ๑๙๑๖)
หมื่นเงินกองเป็นชื่อของมหาอำมาตย์ ตำแหน่ง "ขุนคลัง" ท่านหนึ่งในรัชกาลพระเจ้ากือนา
โดยโปรดให้ไปอาราธนาพระสุมนะเถระชาวเมืองสุโขทัยมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในนครพิงค์
เมื่อ พ.ศ. ๑๙๑๓
มีเรื่องเล่ากันว่าผู้สร้างวัดหมื่นเงินกองเอาเงินมาจากไหนมากมาย
ถึงสร้างวัดได้ มีการเล่าต่อๆกันมาว่ามหาอำมาตย์หมื่นเงินกองนั้น
เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา หลังจากลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส
ก็ได้รับคำนำหน้าว่า "หนาน" ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "หนานเมธัง" มีภรรยาชื่อ "นางแก้ว"
โดยมีที่อยู่ก็เป็นที่ตั้งของวัดหมื่นเงินกองในปัจจุบัน
ในอดีตนั้นมีเหตุเกิดข้าวยากหมากแพงและเป็นช่วงฤดูฝน
ชาวนาไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มที่ เกิดความเดือดร้อนไปทั่วบ้านเมือง
หนานเมธังและนางแก้วจึงไปหาซื้อวัว หาซื้อข้าวสาร นอนค้างแรมไปเรื่อยๆตามทาง
จนมีความร่ำรวย จนเมื่อเดินทางมาถึงวัดพระนอนข่อนม่วง
ทั้งสองสามีภรรยาได้หยุดพักเพราะเป็นเวลาเที่ยงและอากาศร้อนมาก
หนานเมธังจึงได้มัดวัวไว้แล้วให้นางแก้วดูแล
ส่วนตัวหนานเมธังได้เข้าไปกราบพระพุทธไสยอาสน์ (พระนอน) เมื่อเวลาผ่านไปนาน
นางแก้วเห็นสามียังไม่กลับออกมาจึงได้เข้าไปตาม
ระหว่างนั้นวัวตัวหนึ่งได้หลุดออกเพราะเชือกขาด วัวตัวนั้นวิ่งไปขวิดตลิ่งจนพัง
นางได้เล่าให้สามีฟัง สามีจึงได้คุกเข่าอธิฐานต่อเทวดาว่า
"หากสมบัติเหล่านี้เคยเป็นของตนเองในอดีตหรือปัจจุบันชาตินี้ก็ขอให้อยู่ อย่างเดิม
แต่ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้หายไปปรากฏว่าเงินทองทั้งหมดยังอยู่ครบ
ถึงสร้างวัดได้ มีการเล่าต่อๆกันมาว่ามหาอำมาตย์หมื่นเงินกองนั้น
เคยอุปสมบทในพระพุทธศาสนา หลังจากลาสิกขาออกมาเป็นฆราวาส
ก็ได้รับคำนำหน้าว่า "หนาน" ชาวบ้านจึงเรียกกันว่า "หนานเมธัง" มีภรรยาชื่อ "นางแก้ว"
โดยมีที่อยู่ก็เป็นที่ตั้งของวัดหมื่นเงินกองในปัจจุบัน
ในอดีตนั้นมีเหตุเกิดข้าวยากหมากแพงและเป็นช่วงฤดูฝน
ชาวนาไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เต็มที่ เกิดความเดือดร้อนไปทั่วบ้านเมือง
หนานเมธังและนางแก้วจึงไปหาซื้อวัว หาซื้อข้าวสาร นอนค้างแรมไปเรื่อยๆตามทาง
จนมีความร่ำรวย จนเมื่อเดินทางมาถึงวัดพระนอนข่อนม่วง
ทั้งสองสามีภรรยาได้หยุดพักเพราะเป็นเวลาเที่ยงและอากาศร้อนมาก
หนานเมธังจึงได้มัดวัวไว้แล้วให้นางแก้วดูแล
ส่วนตัวหนานเมธังได้เข้าไปกราบพระพุทธไสยอาสน์ (พระนอน) เมื่อเวลาผ่านไปนาน
นางแก้วเห็นสามียังไม่กลับออกมาจึงได้เข้าไปตาม
ระหว่างนั้นวัวตัวหนึ่งได้หลุดออกเพราะเชือกขาด วัวตัวนั้นวิ่งไปขวิดตลิ่งจนพัง
นางได้เล่าให้สามีฟัง สามีจึงได้คุกเข่าอธิฐานต่อเทวดาว่า
"หากสมบัติเหล่านี้เคยเป็นของตนเองในอดีตหรือปัจจุบันชาตินี้ก็ขอให้อยู่ อย่างเดิม
แต่ถ้าไม่ใช่ก็ขอให้หายไปปรากฏว่าเงินทองทั้งหมดยังอยู่ครบ
จึงได้นำมาบรรทุกหลังวัวทั้ง
๔ แล้วออกเดินทาง พอมาถึงบ่อน้ำที่ชื่อว่า "บ่อน้ำหมาเลีย"
วัวตัวหนึ่งเกิดสะดุดก้อนหินหกล้มตาย ทั้งสองสามีภรรยาจึงได้นำสมบัติบรรทุกวัวทั้ง ๓ ตัว
แต่ไม่สามารถจะบรรทุกได้หมด จึงได้นำสมบัติเหล่านั้นฝังดินใกล้ๆน้ำบ่อ
จากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน
พอถึงเวลาเข้านอนก็นอนไม่หลับจึงปรึกษาภรรยาว่าจะเอาเงินทองที่ได้มาไป
สร้างวัดช่างลาน เรื่อยมาจนได้รับยศให้เป็นหมื่นเงินกอง
แล้วสร้างวัดหมื่นเงินกองเพื่อเป็นอนุสรณ์เป็นที่เข้าใจกันว่า
มหาอำมาตย์ หมื่นเงินกองหรือทิดเมธัง ผู้สร้างวัดเมธังและวัดช่างลาน
เป็นผู้สร้างวัด "หมื่นเงินกอง" เพื่อเป็นอนุสรณ์ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ตนเองได้รับ ต่อมาชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "วัดมะยมกอง" บ้างแต่ก็มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า
"วัดหมื่นเงินกอง" ตราบทุกวันนี้
วัวตัวหนึ่งเกิดสะดุดก้อนหินหกล้มตาย ทั้งสองสามีภรรยาจึงได้นำสมบัติบรรทุกวัวทั้ง ๓ ตัว
แต่ไม่สามารถจะบรรทุกได้หมด จึงได้นำสมบัติเหล่านั้นฝังดินใกล้ๆน้ำบ่อ
จากนั้นก็เดินทางกลับบ้าน
พอถึงเวลาเข้านอนก็นอนไม่หลับจึงปรึกษาภรรยาว่าจะเอาเงินทองที่ได้มาไป
สร้างวัดช่างลาน เรื่อยมาจนได้รับยศให้เป็นหมื่นเงินกอง
แล้วสร้างวัดหมื่นเงินกองเพื่อเป็นอนุสรณ์เป็นที่เข้าใจกันว่า
มหาอำมาตย์ หมื่นเงินกองหรือทิดเมธัง ผู้สร้างวัดเมธังและวัดช่างลาน
เป็นผู้สร้างวัด "หมื่นเงินกอง" เพื่อเป็นอนุสรณ์ยศถาบรรดาศักดิ์ที่ตนเองได้รับ ต่อมาชาวบ้านทั่วไปเรียกว่า "วัดมะยมกอง" บ้างแต่ก็มีชื่อที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า
"วัดหมื่นเงินกอง" ตราบทุกวันนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น